เทวดาองค์นี้พระหัตถ์ซ้ายถือพระขรรค์ หมายถึงการพิทักษ์ ปกป้องรักษาลักษณะเช่นเดียวกับเทวดาที่ปกป้องสถานที่ต่างๆ ในยุคก่อนที่มักจะนิยมทำเป็นเจว็ดไม้เทวดาผู้พิทักษ์ คล้ายๆตามในภาพ เชื่อว่ามีการสร้างมาตั้งแต่ยุคโบราณนับหลายร้อยปี ส่วนเจว็ดตามภาพ เชื่อว่าเป็นงานช่างหลวงสร้างราวสมัย รัชกาลที่3 ถึง รัชกาลที่4 เราสามารถเห็นเจว็ดแบบนี้ตาม ศาลหลักเมืองเก่า ด่านขนอนที่เก็บภาษีอากร แต่ในยุคต่อมาจะเริ่มสร้างโดยการหล่อเป็นรูปหล่อลอยองค์เช่น พระสยามเทวาธิราช ในสมัยรัชกาลที่4
ในพระหัตถ์ขวาท่านถือดอกบัว หมายถึงความอุดมสมบูรณ์หรือทรัพย์สมบัติ การเจริญงอกงาม บ้างก็หมายถึง สติปัญญาอันเฉียบแหลม, จิตใจที่ผ่องแผ้วสดใสไม่มัวหมอง, ความศรัทธาและการบรรลุธรรม
ทุกวันนี้ถ้ากล่าวถึงเทวดาที่ถือดอกบัวและพระขรรค์ ทุกคนจะนึกถึง #พระคลังมหาสมบัติ ซึ่งหลายคนศรัทธาซึ่งสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่5 ซึ่งเชื่อกันว่าท่านทำหน้าที่เป็นเทวดาผู้พิทักษ์รักษาทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดิน และยังเชื่อกันอีกว่า การบูชาพระคลังมหาสมบัติอย่างสม่ำเสมอ จะพบความสำเร็จทางด้านเงินทองนำมาซึ่งความเป็นสิริมงคลมีเงินมีทองใช้ไม่ขาดสาย ทรัพย์สมบัติเก่าอยู่ครบและจะยิ่งพอกพูนร่ำรวยมั่งคั่งตลอดไป
คาถาบูชาพระคลังมหาสมบัติ เป็นคาถาเดียวกันกับ คาถาที่บูชาพระสุนทรีวาณี เทพนารีแห่งปัญญาผู้รักษาพระพุทธศาสนานำพาการรู้แจ้ง พระคาถาในคัมภีร์สัททาวิเสส มีดังนี้
มุนินทะ วะทะนัมพุชะ คัพพะสัมภะวะ สุนทะรี
ปานีนัง สะระนัง วาณี มัยหัง ปิณะยะตัง มะนัง
กล่าวกันว่า หากหมั่นเจริญภาวนา จะเกิดอานิสงส์ทางสติปัญญา ความทรงจำ โบราณได้สั่งสอนให้ท่องภาวนาพระคาถานี้ก่อนจะเรียนพระไตรปิฎกตลอดมา
เจว็ดนี้ ชำรุดในบางส่วน จึงได้ส่งให้ครูบาอาจารย์ผู้ชำนาญ ได้บูรณะซ่อมแซมใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะกลับมาสง่างาม ดังเช่นในอดีต